ไส้กรองแอร์ หรือ Cabin Air Filter เป็นแผ่นกรอง ที่จะกรองอากาศก่อนลมเย็นจากช่องแอร์ จะเข้าไปยังห้องโดยสาร มีหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง เศษใบไม้ ซากแมลงตัวเล็ก หรือเส้นผม ไม่ให้ผ่านเข้าไปยังห้องโดยสารนั่นเอง
ในปัจจุบันรถรุ่นใหม่ได้มีการเพิ่มไส้กรองแอร์มาให้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่จำเป็นมาก แต่สำหรับรถบางรุ่นจะไม่มีไส้กรองแอร์มาให้ และถ้าไม่มีส่วนนี้ ฝุ่นละออง หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ก็จะเข้ามาติดอยู่กับแผงคอยล์เย็น ส่งผลให้ระบบปรับอากาศทำงานหนักมากขึ้น แอร์ก็จะไม่เย็นเท่าที่ควร และถ้าสิ่งสกปรกสะสมเข้ามากๆ ก็จะเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือเชื้อรา ส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หรือหอบหืด เป็นต้น
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ไส้กรองแอร์ ที่ใช้อยู่เสื่อมสภาพ?
สามารถสังเกตได้จากลมที่ออกมาจากช่องแอร์ ว่าลมออกเบา มีความชื้น หรือมีกลิ่นอับหรือไม่ หรือนำไส้กรองแอร์ออกมาตรวจเช็คว่า ไส้กรองแอร์มีการฉีกขาด เปื่อยยุ่ย ผิดรูป หรือฝุ่นเริ่มจับตัวหนามากหรือไม่ หากพบเช่นนี้คงถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรองแอร์แล้ว
ไส้กรองแอร์ควรเปลี่ยนเมื่อไร?
ตามคำแนะนำของศูนย์บริการรถยนต์ส่วนใหญ่แนะนำว่า ไส้กรองแอร์ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร และควรตรวจเช็คทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งของระบบทำงานรถยนต์ และตัวผู้โดยสารเอง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเปลี่ยนไส้กรองแอร์ร่วมกับการล้างตู้แอร์แบบไม่ถอดตู้ เพื่อให้อากาศบนรถเย็นสบาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ขับขี่เองด้วย ว่าใช้รถในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะหรือไม่ ถ้าใช่แนะนำให้ตรวจเช็คเร็วยิ่งขึ้น หากพบว่าสกปรกมากก็สามารถเปลี่ยนได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด
เพราะฉะนั้นควรเลือกไส้กรองแอร์ที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน ซึ่งในปัจจุบันมีไส้กรองแอร์ให้เลือกหลายแบบ ไม่ได้มีแต่ไส้กรองแอร์ที่เป็นแบบกระดาษบางๆเพียงอย่างเดียว เพราะมีแบบที่เป็น ไส้กรองแอร์นาโนคาร์บอน ที่สามารถกรองฝุ่นละอองเล็กๆ อย่าง PM2.5 ได้ด้วย